คำอธิบายเพิ่มเติมประกอบแนวคิด นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
1. ที่มาของนโยบาย
ก. ผู้สมัครสายอิสระ สายพรรคการเมือง หรือสายมหาวิทยาลัย จะการประชุมร่วมกันแต่แรก จึงอาจมีบางคนถอนตัว แลกกับให้มีนโยบายของตนบรรจุไว้กับผู้สมัครบางคนที่เห็นว่ามีศักยภาพกว่าหรือสูงสุด แล้วตกลงใจช่วยหาเสียงแลกกับตำแหน่งทางการเมืองหากมีชัยชนะ แล้วแต่ข้อตกลง ดังนั้นการถอนตัวแลกกับการบรรจุนโยบายลงตัวแทนของผู้สมัครจึงเป็นการสะสมนโยบายอย่างหนึ่ง เป็นการบูรณการนโยบายเข้าไว้ด้วยกันแล้วกลายเป็นนโยบายที่สมบูรณ์ระดับชาติในรอบสุดท้าย หรือ
ข. การสะสมนโยบายเกิดขึ้นได้ในแต่ละรอบ เพราะมีผู้สอบตก ดังนั้นผู้เข้ารอบต่อไปมีสิทธินำนโยบายบางส่วนของคนตกรอบมาบรรจุเพิ่มเติมไว้ใน นโยบายของตน และอาจได้รับการสนับสนุนช่วยหาเสียง จากคนที่ตกรอบ ทำให้มีการสะสมนโยบาย และสะสมผู้ช่วยหาเสียงตามธรรมชาติ ตั้งแต่การเลือกตั้งรอบที่สองเป็นต้นไป
ค. นโยบายรอบสุดท้าย ซึ่งมีแข่งขันกันสองคน หรือสองทีมนั้น นโยบายต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐเสียก่อน เช่น ประกอบด้วยตัวแทนของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี อัยการสูงสุด กฤษฎีกา กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างยั่งยืน และไม่เกิดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น
2. การเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ก. สายผู้สมัครอิสระ ผู้สมัครอิสระมาประชุมพร้อมกัน และอาจมีมติให้บางคนเป็นตัวแทนของสายเพื่อเข้าต่อสู้แข่งขัน ส่วนผู้สมัครที่เหลือถอนตัวแล้วช่วยหาเสียงและบูรณาการนโยบาย ทั้งหมดไว้ด้วยกัน เช่น ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ สมัครแบบ 2556.2 ในนามสายอิสระ และมีผู้สมัครอื่นๆ รวมแล้ว 10 คน อาจมีการตกลงให้เหลือ 1 คน คือ ดร.ศุภชัย เป็นตัวแทนของสายผู้สมัครอิสระ ส่วนผู้สมัครที่เหลืออาจตกลงใจนำนโยบายเดิมของตนเองให้บรรจุในนโยบายของผู้สมัครที่เป็นตัวแทน แล้วช่วยหาเสียงให้ และอาจมีสัญญาใจ หรือประกาศให้สาธารณะรับทราบว่า หากตนชนะ แล้วจะให้ผู้สมัครบางคนดำรงตำแหน่งในครม. เช่น ดร.ปุระชัย ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย เป็นต้น
ข. สายพรรคการเมือง พรรคการเมืองจำนวนมากประชุมกัน แล้วอาจเสนอชื่อมาเพียง 2 ชื่อก็ได้ซึ่งเป็นตัวแทนของ 2 พรรค ส่วนพรรคที่เหลือมาช่วยจัดทำนโยบาย และช่วยหาเสียงให้พรรคที่ตนสนับสนุน ซึ่งพอจะเห็นภาพร่างครม.ในอนาคต หรืออาจมีการไพรมารี่ให้เหลือตัวแทนสายเพียง 1 คน(ของบางพรรคการเมือง) อาจเกิดความร่วมมือร่วมใจ ในการหาเสียงและเป็นครม.ร่วมกันในอนาคต แม้ทั้ง 2 พรรคเคยเป็นคู่ขัดแย้งกันมาก่อนก็ตาม เช่น เมื่อสายผู้สมัครอิสระ มีมติส่งเข้าสมัคร 1 คน คือ ดร.ศุภชัย ฝ่ายพรรคการเมืองอาจถูกบังคับ และถูกกดดันให้ต้องร่วมมือกันเฟ้นหาตัวผู้สมัครที่มีศักยภาพและฝีมือ พอสู้สายผู้สมัครอิสระได้ ซึ่งที่สุดแล้วจะเหลือผู้สมัครเพียง 1 รายชื่อเท่านั้นก็ได้
ค. สายมหาวิทยาลัยไทย มหาวิทยาลัยส่งตัวแทนประชุมเพื่อสรรหาและเสนอชื่อ แล้วค่อยไปทาบทาบผู้สมัครให้ได้ครบตามจำนวน เมื่อได้ครบจำนวนแล้วจึงเรียกประชุมเสนอชื่อและหรือครม.เงา ส่วนบางคนอาจถอนตัวในขั้นตอนนี้ แล้วมาช่วยหาเสียงในฐานะรัฐมนตรีอนาคตก็ได้ ดังนั้นสายมหาวิทยาลัย อาจเสนอชื่อเพียง 1-2 คน หรือทีมเท่านั้น ซึ่งอาจน้อยกว่าโควต้าที่กำหนดไว้ คือ 2556.1 เสนอได้ 4 ทีม หรือ 2556.2 เสนอได้ 10 รายชื่อ เป็นต้น
3. นักการเมืองสังกัดพรรคหรือไม่?
ก. ฝ่ายนิติบัญญัติ อาจมาจากผู้สมัครอิสระ สังกัดพรรคการเมือง ขณะฝ่ายบริหารอาจมาจากอิสระ หรือสังกัดพรรคใดก็ได้ ดังนั้นพยากรณ์ได้ยากว่าในแต่ละวาระสมัยนั้น ฝ่ายใดครองเสียงข้างมาก ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของประชาชนในแต่ละยุค
ข. การออกแบบระบบ กรณีเหตุการณ์ตามข้อ 3 ก ยากพยาการณ์ได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติ จะเห็นชอบกับนายกรัฐมนตรีทุกกรณี หรือไม่ เพื่อแก้ปัญหากรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรี กับฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น หาก พรบ.งบประมาณไม่ผ่านสภาผู้แทน ฯลฯ จึงต้องมีการออกแบบกลไกให้สองสถาบันการเมืองนี้ ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เช่น เกณฑ์ของจำนวนเสียงขั้นต่ำของมติ อำนาจของวุฒิสภาในการยับยั้งกฎหมาย และสุดท้ายคือการใช้ประชามติ ในกรณีเกิดความขัดแย้งอันไม่อาจตกลงกันได้ ซึ่งการออกกลไกเหล่านี้ จะได้มีการอภิปราย หรือเสวนาในทฤษฎีทางรัฐศาสตร์กันต่อไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น