คำอธิบายเพิ่มเติมประกอบแนวคิด นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง
1.    ที่มาของนโยบาย
ก.    ผู้สมัครสายอิสระ สายพรรคการเมือง หรือสายมหาวิทยาลัย จะการประชุมร่วมกันแต่แรก จึงอาจมีบางคนถอนตัว แลกกับให้มีนโยบายของตนบรรจุไว้กับผู้สมัครบางคนที่เห็นว่ามีศักยภาพกว่าหรือสูงสุด แล้วตกลงใจช่วยหาเสียงแลกกับตำแหน่งทางการเมืองหากมีชัยชนะ แล้วแต่ข้อตกลง  ดังนั้นการถอนตัวแลกกับการบรรจุนโยบายลงตัวแทนของผู้สมัครจึงเป็นการสะสมนโยบายอย่างหนึ่ง เป็นการบูรณการนโยบายเข้าไว้ด้วยกันแล้วกลายเป็นนโยบายที่สมบูรณ์ระดับชาติในรอบสุดท้าย หรือ
ข.    การสะสมนโยบายเกิดขึ้นได้ในแต่ละรอบ  เพราะมีผู้สอบตก  ดังนั้นผู้เข้ารอบต่อไปมีสิทธินำนโยบายบางส่วนของคนตกรอบมาบรรจุเพิ่มเติมไว้ใน นโยบายของตน และอาจได้รับการสนับสนุนช่วยหาเสียง จากคนที่ตกรอบ ทำให้มีการสะสมนโยบาย และสะสมผู้ช่วยหาเสียงตามธรรมชาติ ตั้งแต่การเลือกตั้งรอบที่สองเป็นต้นไป
ค.    นโยบายรอบสุดท้าย ซึ่งมีแข่งขันกันสองคน หรือสองทีมนั้น นโยบายต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐเสียก่อน  เช่น ประกอบด้วยตัวแทนของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  สำนักนายกรัฐมนตรี อัยการสูงสุด กฤษฎีกา กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เป็นนโยบายที่มีประโยชน์อย่างยั่งยืน และไม่เกิดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น
2.     การเสนอชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ก.    สายผู้สมัครอิสระ ผู้สมัครอิสระมาประชุมพร้อมกัน  และอาจมีมติให้บางคนเป็นตัวแทนของสายเพื่อเข้าต่อสู้แข่งขัน ส่วนผู้สมัครที่เหลือถอนตัวแล้วช่วยหาเสียงและบูรณาการนโยบาย ทั้งหมดไว้ด้วยกัน  เช่น ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์  ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์  สมัครแบบ 2556.2 ในนามสายอิสระ และมีผู้สมัครอื่นๆ รวมแล้ว 10 คน  อาจมีการตกลงให้เหลือ 1 คน คือ ดร.ศุภชัย  เป็นตัวแทนของสายผู้สมัครอิสระ  ส่วนผู้สมัครที่เหลืออาจตกลงใจนำนโยบายเดิมของตนเองให้บรรจุในนโยบายของผู้สมัครที่เป็นตัวแทน  แล้วช่วยหาเสียงให้  และอาจมีสัญญาใจ หรือประกาศให้สาธารณะรับทราบว่า หากตนชนะ แล้วจะให้ผู้สมัครบางคนดำรงตำแหน่งในครม.  เช่น  ดร.ปุระชัย ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย เป็นต้น
ข.    สายพรรคการเมือง  พรรคการเมืองจำนวนมากประชุมกัน แล้วอาจเสนอชื่อมาเพียง 2 ชื่อก็ได้ซึ่งเป็นตัวแทนของ 2 พรรค  ส่วนพรรคที่เหลือมาช่วยจัดทำนโยบาย และช่วยหาเสียงให้พรรคที่ตนสนับสนุน ซึ่งพอจะเห็นภาพร่างครม.ในอนาคต  หรืออาจมีการไพรมารี่ให้เหลือตัวแทนสายเพียง 1 คน(ของบางพรรคการเมือง) อาจเกิดความร่วมมือร่วมใจ ในการหาเสียงและเป็นครม.ร่วมกันในอนาคต แม้ทั้ง 2 พรรคเคยเป็นคู่ขัดแย้งกันมาก่อนก็ตาม เช่น เมื่อสายผู้สมัครอิสระ  มีมติส่งเข้าสมัคร 1 คน คือ ดร.ศุภชัย  ฝ่ายพรรคการเมืองอาจถูกบังคับ และถูกกดดันให้ต้องร่วมมือกันเฟ้นหาตัวผู้สมัครที่มีศักยภาพและฝีมือ พอสู้สายผู้สมัครอิสระได้  ซึ่งที่สุดแล้วจะเหลือผู้สมัครเพียง 1 รายชื่อเท่านั้นก็ได้
ค.    สายมหาวิทยาลัยไทย  มหาวิทยาลัยส่งตัวแทนประชุมเพื่อสรรหาและเสนอชื่อ แล้วค่อยไปทาบทาบผู้สมัครให้ได้ครบตามจำนวน  เมื่อได้ครบจำนวนแล้วจึงเรียกประชุมเสนอชื่อและหรือครม.เงา  ส่วนบางคนอาจถอนตัวในขั้นตอนนี้ แล้วมาช่วยหาเสียงในฐานะรัฐมนตรีอนาคตก็ได้  ดังนั้นสายมหาวิทยาลัย อาจเสนอชื่อเพียง 1-2 คน หรือทีมเท่านั้น ซึ่งอาจน้อยกว่าโควต้าที่กำหนดไว้  คือ 2556.1 เสนอได้ 4 ทีม หรือ 2556.2 เสนอได้ 10 รายชื่อ เป็นต้น
3.    นักการเมืองสังกัดพรรคหรือไม่?
ก.    ฝ่ายนิติบัญญัติ  อาจมาจากผู้สมัครอิสระ สังกัดพรรคการเมือง ขณะฝ่ายบริหารอาจมาจากอิสระ หรือสังกัดพรรคใดก็ได้ ดังนั้นพยากรณ์ได้ยากว่าในแต่ละวาระสมัยนั้น ฝ่ายใดครองเสียงข้างมาก ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของประชาชนในแต่ละยุค
ข.    การออกแบบระบบ  กรณีเหตุการณ์ตามข้อ 3 ก ยากพยาการณ์ได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติ จะเห็นชอบกับนายกรัฐมนตรีทุกกรณี หรือไม่ เพื่อแก้ปัญหากรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรี กับฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น หาก พรบ.งบประมาณไม่ผ่านสภาผู้แทน ฯลฯ  จึงต้องมีการออกแบบกลไกให้สองสถาบันการเมืองนี้ ทำงานร่วมกันอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เช่น เกณฑ์ของจำนวนเสียงขั้นต่ำของมติ  อำนาจของวุฒิสภาในการยับยั้งกฎหมาย และสุดท้ายคือการใช้ประชามติ ในกรณีเกิดความขัดแย้งอันไม่อาจตกลงกันได้ ซึ่งการออกกลไกเหล่านี้ จะได้มีการอภิปราย  หรือเสวนาในทฤษฎีทางรัฐศาสตร์กันต่อไป
07 ธันวาคม 2556
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง (ตอนที่3)
ผลดีและประโยชน์ของระบบ นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งโดยตรง
| 
สภาพปัญหา | 
ระบบรัฐสภา(ปัจจุบัน) | 
เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง | 
| 
1 การซื้อเสียง | 
ซื้อเสียงผ่านหัวคะแนนและนักการเมืองท้องถิ่นและอิทธิพลของกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  เกิดการทุจริตถอนทุนและตุนเงินไว้รอซื้อเสียงเลือกตั้งรอบใหม่ เพราะหากชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล
  มีอำนาจดูแลงบประมาณแผ่นดิน ทำให้การซื้อเสียงคุ้มค่าและกล้าเสี่ยง
  นอกจากนี้การยกมือในสภาให้ผ่านมติแลกกับเงินก็เป็นการซื้อเสียงอย่างหนึ่ง | 
ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง
  การซื้อเสียงให้เป็นนายกฯกระทำได้ยากหรือมิได้เลย ทำให้ไม่จูงใจให้ซื้อเสียง ขณะที่ผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจในการใช้งบประมาณโดยตรง
  ทั้งนายกฯอาจเป็นผู้สมัครอิสระ หรือพรรคฝ่ายตรงข้ามกัน
  ดังนั้นย่อมไม่จูงใจสมาชิกรัฐสภาให้ซื้อเสียงเข้ามา  เพราะเสี่ยงไม่คุ้มทุน  หากการเมืองระดับชาติดี
  ย่อมบังคับให้ระดับท้องถิ่นต้องดีตามไปด้วย โดยอาจไม่ต้องปรับปรุงระบบในระดับท้องถิ่น | 
| 
2 การทุจริตของนักการเมือง | 
การทุจริตมีสาเหตุหนึ่งจากการลงทุนซื้อเสียงแล้วต้องถอนทุน
  ส่วนอีกสาเหตุนั้นเกิดจากความโลภของฝ่ายบริหาร และยิ่งเป็นรัฐบาลผสม  ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมีอำนาจต่อรองมาก  ทำให้นายกฯไม่อาจควบคุมการทุจริตของพรรคร่วมได้
   | 
การมีนายกฯมาจากการเลือกตั้งระดับประเทศ
  ทำให้เป็นระบบที่ไม่ต้องการหัวคะแนน หรือนักการเมืองท้องถิ่นมาช่วยหาเสียง เพราะเป็นการเมืองระดับชาติ
  นโยบายระดับชาติ ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว  ผู้สมัครนายกฯไม่ลงทุนหาเสียง
  เพราะรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่าย จึงไม่มีเหตุจูงใจให้ทุจริต
  ทั้งนายกฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยเสรี โดยมาจากนักวิชาการอิสระก็ได้ ดังโบราณว่า “หัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก”ทำให้การเมืองระดับท้องถิ่นก้าวหน้าตามไปด้วย | 
| 
3 เสถียรภาพของรัฐบาล  | 
รัฐบาลมีเสถียรภาพน้อย
  ส่วนใหญ่ไม่อาจครองเสียงข้างมากในสภาได้ ได้รัฐบาลผสม พรรคร่วมรัฐบาลมีอำนาจมากในการต่อรองย้ายข้าง  ทำให้รัฐบาลอ่อนแอ  ไร้ประสิทธิภาพ
  ควบคุมการทุจริตพรรคร่วมยากเพราะยอม นโยบายขาดความต่อเนื่อง แต่บางสมัยรัฐบาลอาจมีเสถียรภาพมาก
  พรรคเดียวครองเสียงข้างมากในสภา  พรรคได้รับความนิยมมาก
   ทำให้มติพรรคมีอำนาจมากเหนือความถูกต้องชอบธรรม
  หรือเหนือเอกสิทธิ์การลงมติของผู้แทน ทำให้เกิดพวกมากลากไปได้ง่าย | 
การแต่งตั้งและให้พ้นตำแหน่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีโดยตรง
  ไม่มีอำนาจต่อรองของพรรคการเมืองได้  เพราะนายกต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชน
  ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ มิใช่การต่อรองตำแหน่งตามโควต้าของมุ้งในพรรคอย่างระบบรัฐสภา
  ทำให้ชาติก้าวหน้า เจริญ รุ่งเรืองทัดเทียมอารยะประเทศในที่สุด | 
| 
4 การทุจริตและซื้อซื้อตำแหน่งของข้าราชการ | 
ข้าราชการซื้อตำแหน่งจากหน่วยเหนือและนักการเมือง
   และทำให้ต้องหาเงินจากสิ่งผิดกฎหมาย  เรียกรับเงินโดยทุจริตในตำแหน่งหน้าที่  ขรก.ระดับล่างหาเงินซื้อตำแหน่งจากหน่วยเหนือ
  หน่วยเหนือซื้อตำแหน่งจากนักการเมือง
  หรือยอมเป็นพวกอยู่ใต้อิทธิพลฝ่ายการเมืองแลกกับการโยกย้ายเลื่อนตำแหน่งแต่งตั้ง
  เป็นวังวนความชั่วร้ายไม่สิ้นสุด | 
นายกฯมาจากผู้สมัครอิสระ
  สังกัดพรรค หรือสายมหาวิทยาลัยก็ได้
  ความไม่แน่นอนนี้ทำให้ข้าราชการไม่อาจเลือกข้างพรรคใดได้
  ทั้งนายกฯมาจากการเลือกตั้งระดับประเทศมาจากสายใดก็ได้
  ทำให้ข้าราชการมีความมั่นใจว่าจะไม่ถูกกลั่นแกล้งโยกย้าย
  ทั้งผู้แทนในสภาไม่มีอำนาจแบบระบบรัฐสภา(ที่อาจเป็นสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล)ทำให้ผู้แทนไม่มีบทบาทต่อข้าราชการโดยตรง
  ย่อมไม่เกิดการล้วงลูกให้วุ่นวาย | 
| 
5.ปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน | 
ระบบปัจจุบันมีองค์กรอิสระจำนวนมาก
  และไม่มีเกณฑ์การรับคำร้องที่ดีพอ ทำให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง ร้องขอให้ตีความหยุมหยิม
   เฟ้อ และเลยเถิด
  ทำให้บริราชการแผ่นดินล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ
  ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ | 
เพื่อให้นายกฯที่เป็นตัวแทนของมหาประชาชนได้ทำงานในตำแหน่งอย่างราบรื่น 
อาจต้องยุบเลิกองค์กรอิสระที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
  เช่น ศาลปกครอง ศาลรธน. ปปช. กสม. ผู้ตรวจการแผ่นดิน แล้วให้สนง.คณะกรรมการกฤษฎีกา
  กรรมการรัฐธรรมนูญ อัยการสูงสุด และมูลนิธิเอกชนทำหน้าที่แทนกสม.ตามลำดับ
  เว้นแต่องค์กรอิสระปัจจุบัน ถูกเปลี่ยนแปลงที่มาของกรรมการ
  และมีเกณฑ์การรับคำร้องที่ดี 
  จึงอาจให้มีองค์กรอิสระไว้ต่อไปได้ | 
| 
6.ความต่อเนื่องของนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจสังคม | 
เนื่องจากรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ
  มีอายุสั้น ต้องยุบสภา และลาออกบ่อย 
  เมื่อได้รัฐบาลใหม่ 
  มีนโยบายอันใหม่มาแทนที่รัฐบาลเก่า
  ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมของชาติสะดุด และไม่ต่อเนื่อง  ผลที่ได้คือ
  ทำให้ประเทศไทยล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก | 
นายกรัฐมนตรีมีโอกาสอยู่ในตำแหน่งครบวาระคือ
  5-6 ปี ทำให้การผลักดันนโยบาย แผนงาน โครงการเป็นไปอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
  ทั้งผู้แทนฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่มีหน้าที่โดยตรงในฝ่ายบริหาร จึงไม่อาจก้าวก่ายการทำงานได้
  ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมีรูปธรรมที่ชัดเจน เป็นสังคมที่ฝ่ายบริหารทำงานด้วยสติปัญญาและเหตุผลกว่าระบบปัจจุบันมาก | 
| 
7.ปัญหาการถ่ายทอดสดการประชุมสภา | 
ปัจจุบันมีการถ่ายทอดสดประชุมสภา
  โดยเฉพาะญัตติไม่ไว้วางใจ มีการประท้วง วาจาหยาบคาย กิริยาคุกคาม ขว้างปาสิ่งของ
  เล่นเกมการเมืองจนเลยเถิด ทำให้ประชาชนเบื่อและเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย
  เพราะนักการเมืองจ้องคอยแต่ทำลายฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบ ใช้แต่สำนวนโวหาร
  เสียดสีฝ่ายตรงข้าม มากกว่าการอภิปรายเนื้อหาสาระแบบทางวิชาการที่ประชาชนฟังแล้วได้ความรู้ | 
การถ่ายทอดสดประชุมทั่วไปของสภา
  เป็นการอภิปรายปัญหาเศรษฐกิจและสังคม มีเนื้อหาและบรรยากาศแบบทางวิชาการ ทำให้ประชาชนสนใจอยากติดตาม
  ได้สาระความรู้  และตอบคำถามแบบสาระความรู้
   เพราะไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ
  การถ่ายทอดสดทำให้ประชาชนศรัทธาระบอบการปกครองและมีความหวงแหนอยากปกป้องรักษา เกิดการเรียนรู้ทางการเมือง
  เป็นการปิดทางมิให้เรียกหาอำนาจนอกระบบบอีกต่อไป | 
| 
8.พลังเงียบ | 
กลุ่มจัดตั้งมีพลังอำนาจและเสียงดังกว่าพลังเงียบที่มีจำนวนมาก
  เพราะระบบรัฐสภาบังคับให้สังกัดพรรค ทำให้ตัดสิทธิผู้สมัครอิสระ | 
พลังเงียบมีบทบาทมากขึ้น
  ทั้งการสมัครรับเลือกตั้งนายกและสมาชิกรัฐสภา
  เพราะไม่บังคับให้ผู้สมัครสังกัดพรรค และการที่ประชาชนเสนอชื่อผู้สมัครอิสระได้เอง
  ช่วยผู้สมัครหาเสียง หรือให้เงินบริจาค  ทำให้พลังเงียบกลายเป็นยักษ์ที่ถูกปลุกให้ตื่น | 
| 
9.ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย | 
ระบบปัจจุบัน
  ทำให้นักการเมือง รัฐบาล หัวคะแนน นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการ
  การทุจริตและสิ่งผิดกฎหมายมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด  เพราะข้าราชการเกรงกลัวอำนาจอิทธิพลฝ่ายการเมือง
  ขณะฝ่ายการเมืองพึ่งพาหัวคะแนนและนักการเมืองท้องถิ่นในการหาเสียง ทำให้ธุรกิจผิดกฎหมายของหัวคะแนนทั้งหลายดำรงอยู่ได้
  โดยข้าราชการไม่กล้าแตะต้อง แถมคอยคุ้มครองดูแล  ทำให้กฎหมายไม่มีสภาพบังคับกับสมาชิกของเครือข่ายทางการเมือง
  ทำให้เกิดสภาพบ้านเมืองไม่มีขื่อแปในที่สุด | 
นายกรัฐมนตรีอาจมาจากช่องทางใดใน
  3 สาย อันยากพยากรณ์ทำให้การจับขั้วทางการเมืองมีพลวัตรที่ไม่แน่นอน
  ยากแก่การผูกขาด ทั้งการหาเสียงเลือกตั้งมีเงินอุดหนุนทำให้ไม่ต้องพึ่งพาผู้แทน
  นักการเมืองท้องถิ่นและหัวคะแนน  ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปได้จริง
  เพราะไม่ต้องเกรงใจผู้แทน หรือหัวคะแนน ขณะเดียวกันรัฐมนตรีร่วมครม.นายกเสนอแต่งตั้งได้โดยอิสระมากกว่าโควต้าการต่อรองของพรรคร่วมรัฐบาลในระบบรัฐสภา 
  ทำให้นายกมีอำนาจต่อรองสูงคนร่วมครม.ได้สูง  มีอำนาจและอิสระมากขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายเมื่อเปรียบเทียบกับระบบรัฐสภาของไทย | 
06 ธันวาคม 2556
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง (ตอนที่2)
ตามที่ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในปัจจุบัน โดยประเด็นที่เป็นแกนกลางของปัญหาคือ ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต การละเมิดหลักนิติรัฐนิติธรรม การครอบงำผูกขาดทางการเมือง การซื้อเสียงเลือกตั้ง การซื้อขายตำแหน่งราชการ กฎหมายมีสภาพบังคับน้อย ทำให้เศรษฐกิจและสังคมของชาติได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันมีการเสนอทางออกให้มีการจัดตั้งสภาประชาชน และนายกพระราชทานตามมาตร 7 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งสองประการนี้ยังไม่เป็นที่ยุติว่าจะแก้ไขปัญหาของชาติได้แต่ประการใด เพราะยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
เพื่อเป็นการออกไปจากวังวนแห่งปัญหานี้ จึงขอเสนอความคิดเห็นทางรัฐศาสตร์เรื่อง การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ที่วางอยู่บนรากฐานอันมั่นคงของหลักการระบอบประชาธิปไตย คือ
๑. อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน และประชาชนเป็นองค์อธิปัตย์ผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญตามทฤษฎีสัญญาประชาคม
๒. คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐนิติธรรม และรัฐต้องดำรงอยู่อย่างมั่นคงปลอดภัย
๓. มีการเลือกตั้งผู้แทนทางตรงและหรือทางอ้อม
๔. ปกป้องเสียงข้างมากและคุ้มครองเสียงข้างน้อย
๕. ตรากฎหมายตามหลักนิติรัฐนิติธรรม โดยฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากตัวแทนของปวงชนชาวไทย
๖. อำนาจรัฐต้องถูกตรวจสอบถ่วงดุลโดยสถาบันทั้งสาม คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
๗. การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง เช่น ประชามติ เสนอร่างกฎหมาย เสนอแก้รัฐธรรมนูญ เสนอถอดถอน ฯลฯ
เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและเข้มแข็ง พลังเงียบมีที่ยืน คนดีมีฝีมือกล้าอาสารับใช้บ้านเมือง ให้ปัญญาและเหตุผลนำสังคมประเทศชาติ รัฐบาลนำนโยบายแผนงานโครงการไปปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้า ประชาชนมั่งคั่งเป็นสุข ประเทศชาติมั่นคงปลอดภัย ประชาชนเลือกผู้นำของตนเองตามวาระ ป้องกันการใช้เิงินหว่านซื้อเสียง ลดอิทธิพลของหัวคะแนน นักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการไม่ตกอยู่ใต้อาณัติอิทธิพลของนักการเมือง การทุจริตโกงกินจางหายไป
จึงขอเสนอตัวแบบของระบบการปกครองไทย โดยนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดังนี้
คำอธิบายเพิ่มเติม
แบบที่ 1 ประชาธิปไตย 2556.1
ลำดับที่ 28 ระบบการเลือกตั้ง
1. ระบบการเลือกตั้ง
• เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี(พร้อมคณะรัฐมนตรี10คน) โดยให้เลือกตั้ง 3 รอบ แบ่งเป็น 3 สาย คือ ผู้สมัครอิสระ ผู้สมัครสังกัดพรรค และผู้สมัครที่สรรหาโดยมหาวิทยาลัย ในการแข่งขันแต่ละรอบเป็นการแข่งขันของแต่ละทีมในสายเดียวกัน กระทั่งรอบที่ 3 เหลือผู้สมัคร 2 สายๆละ1 ทีม ให้ประชาชนเลือก 1 ทีม
• การแบ่งสายเลือกตั้งออกเป็น 3 สาย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นกลางทางการเมือง และพลังเงียบ ได้มีโอกาสรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาค และความสามารถแข่งขันกับพรรคการเมืองได้ ขณะที่การเปิดให้มีสายมหาวิทยาลัยเพื่อให้ ผู้ทรงปัญญาความรู้ของชาติ ได้มีบทบาทในการสร้าอนาคตของประเทศชาติ
• ก่อนเลือกตั้งรอบที่ 1 ให้มีการไพรมารี่(primary)เพื่อกลั่นกรองผู้สมัครที่อาจมีจำนวนมากให้เหลือจำนวนตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยให้ผู้สมัครแต่ละทีมนำเสนอนโยบาย แล้ววัดคะแนนความนิยมให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งสายละ 4 ทีม โดยการสำรวจคะแนนความนิยมอาจทำได้โดยการสุ่ม หรือโดยวิธีการอื่นใด ที่สุจริตเที่ยงธรรม หรือ
• ตั้งเกณฑ์ให้ผู้สมัครอิสระที่ได้คะแนนนิยมเกินลำดับที่10 จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 6 ปี ยกเว้นมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละสายไม่ครบ 4 ทีม ไม่ต้องจัดให้มีไพรมารี่ก็ได้ หรือ
• ผู้สมัครอิสระแต่ละทีม ต้องมีรายชื่อผู้สนับสนุน 100, 000 คน และต้องมาจากรายภาคละเท่ากันคือ ภาคละ 20,000 คน และให้เรียกเก็บค่าสมัครรับเลือกตั้งคนละ 100, 000 บาท
• มาตรการทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เป็นไปเพื่อกลั่นกรองและป้องกันมิให้มีจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมีมากเกินไป กระทั่งทำให้ยากลำบากในการจดจำหมายเลขและการออกแบบบัตรเลือกตั้ง ทั้งนี้การเพิ่มเกณฑ์ให้สูงขึ้นจะไปกลั่นกรองให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งมีจำนวนลดลง แล้วจึงมีสิทธิเข้าสู่รอบการแข่งขัน
• ในรอบที่ 1 ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้ง 3 สาย ประกาศนโยบายและหาเสียง แล้วให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ไม่เกิน 3 คน(ทีม) ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 คน(ทีม)แรกของแต่ละสาย เข้ารอบต่อไป
• ในรอบที่ 2 มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือสายละ 2 คน(ทีม) ประกาศนโยบายและหาเสียง(และเพิ่มเติม)ให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ไม่เกิน 2 คน(ทีม) แล้วให้ผู้ได้คะแนนลำดับสูงสุดของ 2 สายแรก เข้ารอบต่อไป
• ในรอบที่ 3(รอบสุดท้าย) เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียง 2 คน(ทีม) ให้ประชาชนเลือก 1 คน(ทีม) เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีที่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
• นายกรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
• ระยะเวลานับตั้งแต่ไพรมารี่กระทั่งสิ้นสุดการเลือกตั้งใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน
• นโยบายหาเสียง ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งประกาศนโยบายและหาเสียง โดยรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายนับตั้งแต่รอบแรกอย่างเพียงพอ ผ่านทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต และป้ายหาเสียงตามจุดที่กำหนดไว้เท่านั้น
2. คณะรัฐมนตรี
• นากยกรัฐมนตรีแต่งตั้งรองนายกและรัฐมนตรี โดยอาจแต่งตั้งคู่แข่งทางการเมืองจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ตกรอบเป็นต้นไป หรือบุคคลภายนอกก็ได้
• ในกรณีแต่งตั้งรองนายก หรือรัฐมนตรีจากบุคคลภายนอก ต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติจากวุฒิสภาเสียก่อน
• ในกรณีเกิดความขัดแย้งในการตรากฎหมาย พรบ.งบประมาณ หนังสือสำคัญระหว่างประเทศ และกรณีอื่นใดที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญระหว่างนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี กับสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา ให้กกต. จัดทำประชามติ โดยคำแนะนำของกรรมการรัฐธรรมนูญ เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งนั้น(เป็นหัวข้อใหญ่ที่ต้องผ่านการอภิปรายทางวิชาการรัฐศาสตร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อยุติ)
แบบที่ 2 ประชาธิปไตย 2556.2
ลำดับที่ 28 ระบบการเลือกตั้ง
1. ระบบการเลือกตั้ง
• เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี โดยให้เลือกตั้ง 3 รอบ แบ่งเป็น 3 สาย คือ ผู้สมัครอิสระ ผู้สมัครสังกัดพรรค และผู้สมัครที่สรรหาโดยมหาวิทยาลัย การแข่งขันในแต่ละรอบเป็นการแข่งขันในสาย แล้วในรอบที่ 3 เหลือผู้สมัครเพียง 2 สายๆละ1 คน ให้ประชาชนเลือก
• การแบ่งสายเลือกตั้งออกเป็น 3 สาย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง เป็นกลางทางการเมือง และพลังเงียบ ได้มีโอกาสรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาค และความสามารถแข่งขันกับพรรคการเมืองได้ ขณะที่การเปิดให้มีสายมหาวิทยาลัยเพื่อให้ ผู้ทรงปัญญาความรู้ของชาติ ได้มีบทบาทในการสร้าอนาคตของประเทศชาติ
• ก่อนเลือกตั้งรอบที่ 1
(1)ให้มีการไพรมารี่(primary)เพื่อกลั่นกรองผู้สมัครที่อาจมีจำนวนมากให้เหลือจำนวนตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยให้ผู้สมัครแต่ละทีมนำเสนอนโยบาย แล้ววัดคะแนนความนิยมให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งสายละ 10 คน โดยการสำรวจคะแนนความนิยมอาจทำได้โดยการสุ่ม หรือโดยวิธีการอื่นใด ที่สุจริตเที่ยงธรรม หรือ
(2)ตั้งเกณฑ์ให้ผู้สมัครอิสระที่ได้คะแนนนิยมเกินลำดับที่ 10 จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 6 ปี ยกเว้นมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละสายไม่ครบ 10 คน ไม่ต้องจัดให้มีไพรมารี่ก็ได้ หรือ
(3)ผู้สมัครอิสระแต่ละคน ต้องมีรายชื่อผู้สนับสนุน 100, 000 คน และต้องมาจากรายภาคละเท่ากันคือ ภาคละ 20,000 คน และให้เรียกเก็บค่าสมัครรับเลือกตั้งคนละ 100, 000 บาท
• มาตรการทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เป็นไปเพื่อกลั่นกรองและป้องกันมิให้มีจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมีมากเกินไป กระทั่งทำให้ยากลำบากในการจดจำหมายเลขและการออกแบบบัตรเลือกตั้ง ทั้งนี้การเพิ่มเกณฑ์ให้สูงขึ้นจะไปกลั่นกรองให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งมีจำนวนลดลง แล้วจึงมีสิทธิเข้าสู่รอบการแข่งขัน
• ในรอบที่ 1 ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้ง 3 สาย คือ 30 คน ประกาศนโยบายและหาเสียง แล้วให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ไม่เกิน 5 คน ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุด 5 คนแรกของแต่ละสาย เข้ารอบต่อไป
• ในรอบที่ 2 มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือสายละ 5 คน ให้ประกาศนโยบายและหาเสียง(และเพิ่มเติม)ให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ 3 คน แล้วให้ผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 สายแรก เข้ารอบสายละ 1 คนต่อไป
• ในรอบที่ 3(รอบสุดท้าย) เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียง 2 มาจาก 2 สาย ให้ประชาชนเลือก 1 คน เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีที่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
• นายกรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
• ระยะเวลานับตั้งแต่ไพรมารี่กระทั่งสิ้นสุดการเลือกตั้งใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน
• นโยบายหาเสียง ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งประกาศนโยบายและหาเสียง โดยรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายนับตั้งแต่รอบแรกอย่างเพียงพอ ผ่านทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต และป้ายหาเสียงตามจุดที่กำหนดไว้เท่านั้น
2. คณะรัฐมนตรี
• นากยกรัฐมนตรีแต่งตั้งรองนายกและรัฐมนตรี โดยอาจแต่งตั้งคู่แข่งทางการเมืองจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ตกรอบเป็นต้นไป หรือบุคคลภายนอกก็ได้
• ในกรณีแต่งตั้งรองนายก หรือรัฐมนตรีจากบุคคลภายนอก ต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติจากวุฒิสภาเสียก่อน
• ในกรณีเกิดความขัดแย้งในการตรากฎหมาย พรบ.งบประมาณ หนังสือสำคัญระหว่างประเทศ และกรณีอื่นใดที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญระหว่างนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี กับสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา ให้กกต. จัดทำประชามติ โดยคำแนะนำของกรรมการรัฐธรรมนูญ เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งนั้น(เป็นหัวข้อใหญ่ที่ต้องผ่านการอภิปรายทางวิชาการรัฐศาสตร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อยุติ)
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง
การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง
เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรรภาพและเข้มแข็ง พลังเงียบมีที่ยืน คนดีมีฝีมือกล้าอาสารับใช้บ้านเมือง ให้ปัญญาและเหตุผลนำสังคมประเทศชาติ รัฐบาลนำนโยบายแผนงานโครงการไปปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้า ประชาชนมั่งคั่งเป็นสุข ประเทศชาติมั่นคงปลอดภัย ประชาชนเลือกผู้นำของตนเองตามวาระ ป้องกันการใช้เิงินหว่านซื้อเสียง ลดอิทธิพลของหัวคะแนน นักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการไม่ตกอยู่ใต้อาณัติอิทธิพลของนักการเมือง การทุจริตโกงกินจางหายไป
จึงขอเสนอตัวแบบของระบบการปกครองไทย โดยนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดังนี้
คำอธิบายประกอบ (กำลังจัดทำ)
เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรรภาพและเข้มแข็ง พลังเงียบมีที่ยืน คนดีมีฝีมือกล้าอาสารับใช้บ้านเมือง ให้ปัญญาและเหตุผลนำสังคมประเทศชาติ รัฐบาลนำนโยบายแผนงานโครงการไปปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้า ประชาชนมั่งคั่งเป็นสุข ประเทศชาติมั่นคงปลอดภัย ประชาชนเลือกผู้นำของตนเองตามวาระ ป้องกันการใช้เิงินหว่านซื้อเสียง ลดอิทธิพลของหัวคะแนน นักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการไม่ตกอยู่ใต้อาณัติอิทธิพลของนักการเมือง การทุจริตโกงกินจางหายไป
จึงขอเสนอตัวแบบของระบบการปกครองไทย โดยนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดังนี้
คำอธิบายประกอบ (กำลังจัดทำ)
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
 
 
