06 ธันวาคม 2556

การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง (ตอนที่2)



ตามที่ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงในปัจจุบัน  โดยประเด็นที่เป็นแกนกลางของปัญหาคือ ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต การละเมิดหลักนิติรัฐนิติธรรม การครอบงำผูกขาดทางการเมือง การซื้อเสียงเลือกตั้ง  การซื้อขายตำแหน่งราชการ กฎหมายมีสภาพบังคับน้อย  ทำให้เศรษฐกิจและสังคมของชาติได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง  ขณะเดียวกันมีการเสนอทางออกให้มีการจัดตั้งสภาประชาชน  และนายกพระราชทานตามมาตร 7 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งสองประการนี้ยังไม่เป็นที่ยุติว่าจะแก้ไขปัญหาของชาติได้แต่ประการใด  เพราะยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

เพื่อเป็นการออกไปจากวังวนแห่งปัญหานี้ จึงขอเสนอความคิดเห็นทางรัฐศาสตร์เรื่อง การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ที่วางอยู่บนรากฐานอันมั่นคงของหลักการระบอบประชาธิปไตย คือ

๑.    อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน  และประชาชนเป็นองค์อธิปัตย์ผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญตามทฤษฎีสัญญาประชาคม
๒.    คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักนิติรัฐนิติธรรม และรัฐต้องดำรงอยู่อย่างมั่นคงปลอดภัย
๓.    มีการเลือกตั้งผู้แทนทางตรงและหรือทางอ้อม
๔.    ปกป้องเสียงข้างมากและคุ้มครองเสียงข้างน้อย
๕.    ตรากฎหมายตามหลักนิติรัฐนิติธรรม โดยฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากตัวแทนของปวงชนชาวไทย
๖.    อำนาจรัฐต้องถูกตรวจสอบถ่วงดุลโดยสถาบันทั้งสาม คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
๗.    การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง เช่น ประชามติ เสนอร่างกฎหมาย เสนอแก้รัฐธรรมนูญ เสนอถอดถอน ฯลฯ

เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและเข้มแข็ง พลังเงียบมีที่ยืน คนดีมีฝีมือกล้าอาสารับใช้บ้านเมือง ให้ปัญญาและเหตุผลนำสังคมประเทศชาติ รัฐบาลนำนโยบายแผนงานโครงการไปปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง ประเทศชาติพัฒนาก้าวหน้า ประชาชนมั่งคั่งเป็นสุข ประเทศชาติมั่นคงปลอดภัย ประชาชนเลือกผู้นำของตนเองตามวาระ ป้องกันการใช้เิงินหว่านซื้อเสียง ลดอิทธิพลของหัวคะแนน นักการเมืองท้องถิ่นและนักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการไม่ตกอยู่ใต้อาณัติอิทธิพลของนักการเมือง การทุจริตโกงกินจางหายไป

จึงขอเสนอตัวแบบของระบบการปกครองไทย โดยนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดังนี้



คำอธิบายเพิ่มเติม

แบบที่ 1  ประชาธิปไตย 2556.1

ลำดับที่ 28 ระบบการเลือกตั้ง

1.    ระบบการเลือกตั้ง
•    เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี(พร้อมคณะรัฐมนตรี10คน) โดยให้เลือกตั้ง 3 รอบ แบ่งเป็น 3 สาย คือ  ผู้สมัครอิสระ ผู้สมัครสังกัดพรรค และผู้สมัครที่สรรหาโดยมหาวิทยาลัย  ในการแข่งขันแต่ละรอบเป็นการแข่งขันของแต่ละทีมในสายเดียวกัน กระทั่งรอบที่ 3  เหลือผู้สมัคร 2 สายๆละ1 ทีม ให้ประชาชนเลือก 1 ทีม
•    การแบ่งสายเลือกตั้งออกเป็น 3 สาย  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง  เป็นกลางทางการเมือง  และพลังเงียบ ได้มีโอกาสรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี  เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาค และความสามารถแข่งขันกับพรรคการเมืองได้  ขณะที่การเปิดให้มีสายมหาวิทยาลัยเพื่อให้ ผู้ทรงปัญญาความรู้ของชาติ ได้มีบทบาทในการสร้าอนาคตของประเทศชาติ
•    ก่อนเลือกตั้งรอบที่ 1 ให้มีการไพรมารี่(primary)เพื่อกลั่นกรองผู้สมัครที่อาจมีจำนวนมากให้เหลือจำนวนตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยให้ผู้สมัครแต่ละทีมนำเสนอนโยบาย  แล้ววัดคะแนนความนิยมให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งสายละ 4 ทีม โดยการสำรวจคะแนนความนิยมอาจทำได้โดยการสุ่ม หรือโดยวิธีการอื่นใด ที่สุจริตเที่ยงธรรม หรือ
•    ตั้งเกณฑ์ให้ผู้สมัครอิสระที่ได้คะแนนนิยมเกินลำดับที่10  จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 6 ปี  ยกเว้นมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละสายไม่ครบ 4 ทีม ไม่ต้องจัดให้มีไพรมารี่ก็ได้  หรือ
•    ผู้สมัครอิสระแต่ละทีม ต้องมีรายชื่อผู้สนับสนุน 100, 000 คน และต้องมาจากรายภาคละเท่ากันคือ ภาคละ 20,000 คน  และให้เรียกเก็บค่าสมัครรับเลือกตั้งคนละ 100, 000 บาท
•    มาตรการทั้ง 3 ข้อดังกล่าว  เป็นไปเพื่อกลั่นกรองและป้องกันมิให้มีจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมีมากเกินไป กระทั่งทำให้ยากลำบากในการจดจำหมายเลขและการออกแบบบัตรเลือกตั้ง ทั้งนี้การเพิ่มเกณฑ์ให้สูงขึ้นจะไปกลั่นกรองให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งมีจำนวนลดลง แล้วจึงมีสิทธิเข้าสู่รอบการแข่งขัน
•    ในรอบที่ 1  ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้ง 3 สาย  ประกาศนโยบายและหาเสียง แล้วให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ไม่เกิน 3  คน(ทีม) ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 คน(ทีม)แรกของแต่ละสาย  เข้ารอบต่อไป
•    ในรอบที่ 2 มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือสายละ 2 คน(ทีม) ประกาศนโยบายและหาเสียง(และเพิ่มเติม)ให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ไม่เกิน 2 คน(ทีม)  แล้วให้ผู้ได้คะแนนลำดับสูงสุดของ 2 สายแรก เข้ารอบต่อไป
•    ในรอบที่ 3(รอบสุดท้าย) เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียง 2 คน(ทีม)  ให้ประชาชนเลือก 1  คน(ทีม) เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีที่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
•    นายกรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
•    ระยะเวลานับตั้งแต่ไพรมารี่กระทั่งสิ้นสุดการเลือกตั้งใช้เวลาไม่เกิน  6 เดือน
•    นโยบายหาเสียง  ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งประกาศนโยบายและหาเสียง  โดยรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายนับตั้งแต่รอบแรกอย่างเพียงพอ  ผ่านทีวี  วิทยุ  หนังสือพิมพ์  อินเตอร์เน็ต  และป้ายหาเสียงตามจุดที่กำหนดไว้เท่านั้น

2.    คณะรัฐมนตรี
•    นากยกรัฐมนตรีแต่งตั้งรองนายกและรัฐมนตรี โดยอาจแต่งตั้งคู่แข่งทางการเมืองจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ตกรอบเป็นต้นไป หรือบุคคลภายนอกก็ได้
•    ในกรณีแต่งตั้งรองนายก หรือรัฐมนตรีจากบุคคลภายนอก ต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติจากวุฒิสภาเสียก่อน
•    ในกรณีเกิดความขัดแย้งในการตรากฎหมาย  พรบ.งบประมาณ หนังสือสำคัญระหว่างประเทศ  และกรณีอื่นใดที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญระหว่างนายกรัฐมนตรี  หรือคณะรัฐมนตรี  กับสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา ให้กกต. จัดทำประชามติ โดยคำแนะนำของกรรมการรัฐธรรมนูญ  เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งนั้น(เป็นหัวข้อใหญ่ที่ต้องผ่านการอภิปรายทางวิชาการรัฐศาสตร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อยุติ)

แบบที่ 2  ประชาธิปไตย 2556.2

ลำดับที่ 28 ระบบการเลือกตั้ง

1.    ระบบการเลือกตั้ง
•    เลือกตั้งนายกรัฐมนตรี  โดยให้เลือกตั้ง 3 รอบ แบ่งเป็น 3 สาย คือ  ผู้สมัครอิสระ ผู้สมัครสังกัดพรรค และผู้สมัครที่สรรหาโดยมหาวิทยาลัย การแข่งขันในแต่ละรอบเป็นการแข่งขันในสาย  แล้วในรอบที่ 3  เหลือผู้สมัครเพียง 2 สายๆละ1 คน ให้ประชาชนเลือก
•    การแบ่งสายเลือกตั้งออกเป็น 3 สาย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง  เป็นกลางทางการเมือง  และพลังเงียบ ได้มีโอกาสรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี  เพื่อสร้างความเป็นธรรม ความเสมอภาค และความสามารถแข่งขันกับพรรคการเมืองได้  ขณะที่การเปิดให้มีสายมหาวิทยาลัยเพื่อให้ ผู้ทรงปัญญาความรู้ของชาติ ได้มีบทบาทในการสร้าอนาคตของประเทศชาติ

•    ก่อนเลือกตั้งรอบที่ 1
(1)ให้มีการไพรมารี่(primary)เพื่อกลั่นกรองผู้สมัครที่อาจมีจำนวนมากให้เหลือจำนวนตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยให้ผู้สมัครแต่ละทีมนำเสนอนโยบาย  แล้ววัดคะแนนความนิยมให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งสายละ 10 คน โดยการสำรวจคะแนนความนิยมอาจทำได้โดยการสุ่ม หรือโดยวิธีการอื่นใด ที่สุจริตเที่ยงธรรม หรือ
(2)ตั้งเกณฑ์ให้ผู้สมัครอิสระที่ได้คะแนนนิยมเกินลำดับที่ 10 จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 6 ปี  ยกเว้นมีผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละสายไม่ครบ 10 คน ไม่ต้องจัดให้มีไพรมารี่ก็ได้  หรือ
(3)ผู้สมัครอิสระแต่ละคน  ต้องมีรายชื่อผู้สนับสนุน 100, 000 คน และต้องมาจากรายภาคละเท่ากันคือ ภาคละ 20,000 คน  และให้เรียกเก็บค่าสมัครรับเลือกตั้งคนละ 100, 000 บาท
•    มาตรการทั้ง 3 ข้อดังกล่าว  เป็นไปเพื่อกลั่นกรองและป้องกันมิให้มีจำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมีมากเกินไป กระทั่งทำให้ยากลำบากในการจดจำหมายเลขและการออกแบบบัตรเลือกตั้ง ทั้งนี้การเพิ่มเกณฑ์ให้สูงขึ้นจะไปกลั่นกรองให้เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งมีจำนวนลดลง แล้วจึงมีสิทธิเข้าสู่รอบการแข่งขัน

•    ในรอบที่ 1  ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้ง 3 สาย คือ 30 คน ประกาศนโยบายและหาเสียง แล้วให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้ไม่เกิน  5  คน  ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุด 5 คนแรกของแต่ละสาย  เข้ารอบต่อไป
•    ในรอบที่ 2  มีผู้สมัครรับเลือกตั้งเหลือสายละ 5 คน ให้ประกาศนโยบายและหาเสียง(และเพิ่มเติม)ให้ประชาชนมีสิทธิลงคะแนนเลือกได้  3 คน แล้วให้ผู้ได้คะแนนสูงสุด 2 สายแรก เข้ารอบสายละ 1 คนต่อไป
•    ในรอบที่ 3(รอบสุดท้าย) เหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียง 2 มาจาก  2 สาย  ให้ประชาชนเลือก 1  คน เพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีที่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
•    นายกรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
•    ระยะเวลานับตั้งแต่ไพรมารี่กระทั่งสิ้นสุดการเลือกตั้งใช้เวลาไม่เกิน  6 เดือน
•    นโยบายหาเสียง  ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งประกาศนโยบายและหาเสียง  โดยรัฐอุดหนุนค่าใช้จ่ายนับตั้งแต่รอบแรกอย่างเพียงพอ  ผ่านทีวี  วิทยุ  หนังสือพิมพ์  อินเตอร์เน็ต  และป้ายหาเสียงตามจุดที่กำหนดไว้เท่านั้น

2.    คณะรัฐมนตรี
•    นากยกรัฐมนตรีแต่งตั้งรองนายกและรัฐมนตรี โดยอาจแต่งตั้งคู่แข่งทางการเมืองจากผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่ตกรอบเป็นต้นไป หรือบุคคลภายนอกก็ได้
•    ในกรณีแต่งตั้งรองนายก หรือรัฐมนตรีจากบุคคลภายนอก ต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติจากวุฒิสภาเสียก่อน
•    ในกรณีเกิดความขัดแย้งในการตรากฎหมาย  พรบ.งบประมาณ หนังสือสำคัญระหว่างประเทศ  และกรณีอื่นใดที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญระหว่างนายกรัฐมนตรี  หรือคณะรัฐมนตรี  กับสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา ให้กกต. จัดทำประชามติ โดยคำแนะนำของกรรมการรัฐธรรมนูญ  เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งนั้น(เป็นหัวข้อใหญ่ที่ต้องผ่านการอภิปรายทางวิชาการรัฐศาสตร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ข้อยุติ)








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น